เที่ยวบินสำคัญช่วงต้นทศวรรษ 1930 ของ ชาลส์ คิงส์ฟอร์ด สมิท

หลังจากที่คิงส์ฟอร์ด สมิทส่งเครื่องบินเซาเทิร์นครอสส์คู่ใจไปเข้ารับการซ่อมบำรุงโดยบริษัทฟอกเกอร์ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1930 เขาได้บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในทิศทางตะวันออก–ตะวันตกจากไอร์แลนด์ไปยังนิวฟันด์แลนด์โดยใช้เวลา 31 1/2 ชั่วโมง ตั้งต้นจากหาดพอร์ทมาร์น็อกซึ่งอยู่เหนือกรุงดับลินเล็กน้อย พวกเขาได้บินต่อไปยังโอกแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย อันเป็นการบรรจบเส้นทางรอบโลกที่เริ่มต้นใน ค.ศ. 1928[40] ในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้เข้าแข่งขันบินจากอังกฤษไปยังออสเตรเลีย และชนะการแข่งขันโดยใช้เวลา 13 วัน และบินเพียงลำพัง เขาเดินทางถึงซิดนีย์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1930[41]

ใน ค.ศ. 1931 เขาซื้อเครื่องบินแอฟโร เอเวียนและตั้งชื่อให้ว่า เซาเทิร์นครอสส์ไมเนอร์ เพื่อใช้บินแข่งขันจากออสเตรเลียไปอังกฤษ และได้ขายเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับกัปตันบิลล์ แลงคาสเตอร์ ผู้ซึ่งหายสาบสูญเมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1933 เหนือทะเลทรายสะฮารา ร่างของแลงคาสเตอร์ถูกพบใน ค.ศ. 1962 ส่วนซากเครื่องบิน เซาเทิร์นครอสส์ไมเนอร์ จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ควีนส์แลนด์[42] ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 คิงส์ฟอร์ด สมิทยังได้พัฒนารถยนต์รุ่นเซาเทิร์นครอสส์ควบคู่กันไปด้วย[43][44]

คิงส์ฟอร์ด สมิทใน ค.ศ. 1933

ใน ค.ศ. 1933 คิงส์ฟอร์ด สมิทเริ่มดำเนินกิจการเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกโดยใช้หาดเซเวนไมล์ รัฐนิวเซาท์เวลส์เป็นทางวิ่ง[45] และใน ค.ศ. 1934 เขาได้ซื้อเครื่องบินล็อกฮีด อัลแทร์ชื่อ เลดีเซาเทิร์นครอสส์ เพื่อเข้าแข่งขันรายการแมกโรเบิร์ตสันแอร์เรซ[46]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ชาลส์ คิงส์ฟอร์ด สมิท http://www.naa.gov.au/about-us/publications/fact-s... https://web.archive.org/web/20110809132241/http://... http://visaparaaustralia.com/immigration-to-austra... https://web.archive.org/web/20120425120631/http://... https://web.archive.org/web/20110312041850/https:/... https://www.bdm.qld.gov.au/IndexSearch/queryEntry.... http://nla.gov.au/nla.news-article3645451 https://web.archive.org/web/20220717024804/https:/... http://nla.gov.au/nla.news-article42944512 https://web.archive.org/web/20220717024804/https:/...